วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

CHEVROLET IMPALA HIP HOP STYLE BY CAR DANCE

หลังจากกอง บก. นั่งปรึกษาหารือกันอยู่พักใหญ่ว่าเล่มนี้จะมีทีเด็ดอะไรมาเสนอกัน จนที่สุดสรุปว่าหารถแนว HYDRAULICS สไตล์ HIP HOP มาเสนอบ้างคงจะดี อย่างน้อยจะได้เบรกความจำเจเดิม ๆ ลงบ้าง แถมความน่าสนใจก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน ซึ่งการตกแต่งแนวนี้เพื่อจุดประสงค์หลักคือ "ENTERTAIN"

ส่วนรถที่เรานำมาเสนอนั้น เป็นรถจากค่ายดังย่านพระราม 2 อย่าง "CAR DANCE" ซึ่งในกลุ่มที่เล่นรถ HYDRAULICS จะรู้ว่า ที่นี่แหละศูนย์รวมแห่งการตกแต่งสำหรับ GANGSTER โดยเฉพาะ และที่เด็ดสุดคือคุณหมู CAR DANCE ยอมเปิดกรุของป๋าเพื่อนำ IMPALA สุดหวงมาเผยโฉมให้ชมกัน
แรงดลใจในการทำรถคันนี้ ?
หลังจากเริ่มบทสนทนา ป๋า (คุณพ่อของคุณหมู CAR DANCE) เล่าถึงความเป็นมาของรถคันนี้ให้ฟังว่า "ในช่วงแรกไม่ได้คิดที่จะเล่นรถแนวนี้ แต่พอได้เห็นสื่อต่างประเทศ รู้สึกว่ารถประเภทนี้น่าเล่นดีเหมือนกัน อีกอย่างลูกชายชอบรถและเปิดอู่อยู่แล้ว เลยคิดว่าน่าจะทำรถส่วนตัวขึ้นมาใช้ดูสักคัน อย่างคันนี้ก็ใช้เวลาถึง 5 ปี กว่าจะออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่เห็น ซึ่งจุดประสงค์หลักแล้ว ทำออกมาเพื่อโชว์โดยเฉพาะ" ในต่างประเทศ รถประเภท "LOWRIDER" มาแรงมาก เพราะรถแบบนี้จะเป็นรถที่เขาทำเก็บไว้อย่างเดียว ไม่นำออกมาใช้งาน (เหมือนกับกลุ่มที่เล่นรถ CLASSIC ในไทย) อย่าง IMPARA คันนี้ คุณป๋าตั้งใจว่า สร้างรถออกมาเพื่อเป็นสีสันบนท้องถนน
ทำไมต้องเป็น IMPARA ? เนื่องจากในต่างประเทศนิยมเล่นรถ IMPARA กันมาก ประจวบเหมาะกับคุณป๋าได้ไปเจอรถ IMPARA ปี'70 (ต่างประเทศจะนิยมเล่นรุ่นปี'58-'62 แต่ในไทยสามารถหาได้เท่านี้) พอทำออกมา หลายคนได้เห็นแล้วรู้สึกชอบ จึงเกิดการรวมกลุ่มและหันมาทำเล่นกัน
กลุ่มที่เล่นรถแบบ HYDRAULICS ในอดีตจะมีการรวมตัวกันอยู่หลายกลุ่ม (ส่วนมากเป็นรถญี่ปุ่น) แต่ในปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น ตอนนี้ถ้านับในทวีปเอเชีย เมืองไทยถือว่าเป็นรองญี่ปุ่นเท่านั้น อย่าง IMPALA คันที่นำเสนออยู่นี้ เริ่มจากจับบอดี้เดิม ในสภาพแบบว่า "เป็นซาก" มาชุบชีวิตใหม่ด้วยการทำสี จากนั้นนำไปเปลี่ยนเป็นเครื่องดีเซล แล้วนำมาติดตั้งชุด HYDRAULICS แบบ 4 ปั๊ม จากนั้นเป็นเรื่องของการเก็บรายละเอียดตามจุดต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จนครบ ตามแนวทางการตกแต่งรถประเภทนี้ แต่รถ IMPALA ของป๋า ปกติจะไม่ค่อยไปเผยโฉมที่ไหน ถ้าออกเมื่อไหร่จะเป็นงานโชว์เท่านั้น เพราะค่าใช้จ่ายในการนำรถออกไปแต่ละครั้ง ค่อนข้างสูงพอสมควร มีสิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจสงสัยนั่นคือ "งบประมาณในการทำ
เรื่องนี้ป๋าบอกเลยว่าหมดเยอะพอสมควร รวม ๆ แล้วน่าจะประมาณเกือบ 2 ล้านบาท เพราะค่าใช้จ่ายส่วนมากจะเป็นค่าของเท่านั้น เนื่องจากเรามีอู่ของตัวเอง ทำให้ลดงบประมาณในเรื่องค่าแรงลงไป ป๋ายังเล่าให้ฟังว่า "คนที่ไม่เล่นรถประเภทนี้อาจไม่รู้สึกอะไร แต่ใครก็ตามที่ได้เล่นแล้ว จะรู้สึกว่าหลงใหลในเสน่ห์ของมัน จริง ๆ แล้วคนที่อยากเล่นรถรุ่นนี้ก็มีเยอะ แต่ต้องถามตัวเองก่อนว่าเงินถึงไหม? อย่างตัวผมเอง ถ้าไม่มีอู่ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน"
มีโครงการตกแต่งอะไรเพิ่มเติม? ประเด็นนี้ป๋าแสดงความคิดเห็นว่า "ค่อนข้างพอใจ" เท่าที่ออกมาตอนนี้ในส่วนของตัวถังค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ที่เหลือก็คงจะมีเพียงเครื่องยนต์เท่านั้น เนื่องจากเครื่องเดิมกินน้ำมัน ทำให้ต้องตัดใจยกออกนำมาเก็บไว้ แล้วจัดการยัดเครื่องดีเซลลงไปแทน
การทำงานของรีโมตคุมชุด HYDRAULICS ?

ตัวรีโมตสำหรับควบคุมชุด HYDRAULICS มีฟังก์ชันการทำงานเช่นเดียวกับชุดควบคุมดั้งเดิม แต่ตัวรีโมตช่วยอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้แก่ผู้เล่น เพราะผู้เล่นสามารถยืนห่างจากตัวรถได้ตามระยะที่รีโมตส่งคลื่นไปถึง ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็น OPTION เสริมที่พัฒนามาจากอดีตการทำงานของระบบ HYDRAULICS?
หลักการทำงานของระบบ HYDRAULICS จะอาศัยไฟจากแบตเตอรี่จ่ายไปยังตัวปั๊ม เพื่อดูดน้ำมันผ่านวาล์วก่อนเข้าสู่กระบอก HYDRAULICS และปล่อยลงด้วยระบบวาล์วย้อนกลับสู่ถัง โดยฟังก์ชันการทำงานจะขึ้นอยู่กับว่าชุดปั๊มที่ติดตั้งเข้าไปนั้นเป็นแบบปั๊มเดี่ยวหรือปั๊มคู่ ซึ่งสามารถแยกการทำงานได้ดังนี้ปั๊มเดี่ยว ปั๊มคู่- ยกด้านหน้า - ยกด้านหน้า- ยกด้านหลัง - ยกด้านหลัง- ยกทั้งหมด - ยกทั้งหมด- โหลดกองพื้น - ตะแคงซ้าย - ตะแคงขวา - วิ่ง 3 ล้อ - โหลดกองพื้น - กระโดด สำหรับ IMPALA ของป๋าทำการติดตั้งชุด HYDRAULICS แบบ 4 ปั๊ม การทำงาน 10 ฟังก์ชัน มีรีโมตไร้สาย เป็นการทำงานอิสระ สามารถเต้น ยกเอียง ได้ตามความต้องการ ส่วนสนนราคาเริ่มต้นของการติดตั้งชุด HYDRAULICS อยู่ที่ 45,000 บาท เป็นต้นไป แล้วแต่อุปกรณ์ที่เจ้าของรถเลือกใช้
ข้อด้อยของระบบ HYDRAULICS ?
ในเมื่อระบบ HYDRAULICS มีจุดเด่นแล้ว เรามาดูถึงจุดด้อยของระบบนี้กันบ้างดีกว่า ...ประเด็นแรกคือ คนที่คิดจะเล่นกับระบบนี้ต้องเป็นผู้ที่มีใจรัก เหตุผลคือ การติดตั้งระบบ HYDRAULICS ต้องมีการดัดแปลงตัวถัง ซึ่งแน่นอนว่าการที่จะทำกลับให้เป็นสภาพเดิม ๆ นั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย และการขายต่อ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ชื่นชอบรถประเภทนี้ ราคาค่าตัวของรถจะค่อนข้างต่ำ...ประเด็นที่สอง ควรทำใจเรื่องอายุการใช้งานช่วงล่าง เพราะการทำงานของบู๊ชยางหรือลูกหมาก จะต้องรองรับการทำงานแบบ OVER LOAD ดังนั้น การทำงานต้องสั้นลงบ้าง (เป็นสัจธรรมอยู่แล้ว)

PurpleTiger...Pick up Low Rider

เรื่องราวของ Pick up Low Rider ยังมีมาให้ชมกันอีกคัน ซึ่งเป็นหนึ่งในรถที่มาร่วมงานมอเตอร์โชว์เช่นกัน คันนี้มาในโฉมของ Toyota Tiger ที่เน้นรูปลักษณ์ภายนอกดูโดดเด่นด้วยสีม่วง และองค์ประกอบบต่าง ๆรอบคันตามแบบ Low Rider Style
ในช่วงแรกที่ได้รถมา ทางคุณอาร์ม (เจ้าของรถ) เล่าให้ฟังว่า ใช้งานแบบธรรมดาทั่วไป ไม่คิดจะนำมาแต่ง แต่ด้วยความเคยชินที่ต้องคลุกคลีอยู่กับกลุ่ม Low Rider เพราะพี่ชายของเขาเล่นรถประเภทนี้อยู่ ทำให้เกิดซึมซับจนเริ่มรู้สึกว่ามันดี และสนใจที่จะทำบ้าง สุดท้ายเลยไม่พ้นหันหน้าเข้าหากัน และปรึกษาตามประสาพี่ ๆ น้อง ๆ ในที่สุดพี่ชายของเขาจึงพาไปพบกับผู้ชำนาญเรื่องรถ Low Rider อย่างคุณหมู Car Dance บทสรุปสุดท้ายจึงออกมาแบบที่เห็น

ตอนเริ่มต้น Project ดังกล่าว คุณอาร์มนำไปใส่ปั๊มเล่นแบบธรรมดา พร้อมดูว่ามีปัญหาตรงไหนรึเปล่า จนมั่นใจว่าใช้งานได้ตามปกติและไม่มีปัญหาแน่นอน ถึงเริ่มต้นสเต็ปต่อไป ด้วยการนำมาแต่งให้ดูสวยงาม ซึ่งในตอนนี้เล่นกับ Hydraulics แบบ 2 ปั๊ม ของ Pro Hopper ส่วน Ac. มีเฉพาะคู่หน้า ส่วนด้านหลังไม่ได้ใช้ Ac. เพราะ เน้นการเล่นกระโดดแบบ Hop… สำหรับการตกแต่งรถคันนี้ ช่วงแรกคุณอาร์มคิดว่าพอใจกับระบบ Hydraulics ชุดดังกล่าวแล้ว แต่พอได้เห็นรถคันอื่นที่มาร่วมแสดงในงาoมอเตอร์โชว์ รู้สึกว่าอยากทำเพิ่มให้ปั๊มแรงกว่านี้ จะได้กระโดดสูงกว่าเดิม เพราะตอนนี้รู้สึกว่ารถของตัวเองยังดูธรรมดาอยู่เลย ทั้งหมดนี้เป็นอีกหนึ่งสไตล์ของชาว Low Rider ที่ทีมงานนำมาให้สัมผัสกัน

ZG YARIS TURBO

ด้วยแนวคิดที่ว่า "Total Performance Solution" การผนวกความสปอร์ตและหรูหราเข้าด้วยกันจึงเกิดขึ้น ในร่าง COMPACT CAR ที่สามารถใช้งานจริงได้ในชีวิตประจำวัน พร้อมเพิ่มกำลังตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เต็มประสิทธิภาพ เป็นอะไรที่มากกว่า COMPACT CAR ที่คุณเคยรู้จักทั่ว ๆไป เมื่อสัมผัสถึงแนวความคิดของโปรเจ็กต์นี้แล้ว ทีนี้ถึงคิวแจกแจงกรรมวิธีปรุงแต่งรถคันนี้ชนิด "หมดเปลือก" โดยเริ่มจากภายนอกกันก่อนเลยครับ


ZG YARIS CONCEPT


กว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้นับว่าต้องใช้เวลากันพอตัว ในการออกแบบคิดค้นเพื่อความสมบูรณ์แบบไร้ข้อบกพร่อง รวมทั้งยังตระหนักถึงหลักกลศาสตร์ไม่ให้ขาดในการออกแบบครั้งนี้ อาทิ ด้านหน้ามีการออกแบบกันชนหน้า (FRONT BUMPER) ใหม่หมด เริ่มจากชุดช่องกระจังหน้า (FRONT GRILLE) ถูกเรียบเรียงใหม่ให้เป็นช่องแนวนอน แบ่งออกเป็นสามช่องยาว และถัดลงมาด้านล่างในตำแหน่งเดียวกัน ถูกปรับแต่งใหม่ให้ช่องรับลมมีขนาดกว้างขึ้น และไม่มีอะไรมาขวางทางลม เพื่อการระบายความร้อนที่ดีให้กับอินเตอร์คูลเลอร์ที่วางอยู่ในตำแหน่งนั้น
แก้มข้าง (FRONT FENDER) จัดทรงใหม่หมด "ระเบิด" ออกรับแนวกันชนหน้า สร้างมิติเปลี่ยนทรง ในช่วงบริเวณหลังล้อหน้า ได้เพิ่มช่องอากาศระบายความร้อนของล้อ อีกทั้งยังช่วยเสริมมิติให้ตัวถังดูกว้างขึ้น เป็นแนวยาวลงมาจดกาบข้าง (SIDE STEP) และจับเป็นเส้นยาวไปถึงโป่งหลัง (REAR FENDER) ที่ย้ายมิติออกมารับกับกันชนหลัง (REAR BUMPER) ในส่วนของกันชนหลังออกแบบช่องไฟที่กันชนหลังเพิ่ม เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ในวิสัยทัศน์ที่คลุมเครือ ท้ายรถไม่เว้นว่าง เพิ่มสปอยเลอร์ท้าย เพื่อเพิ่มแรงกดด้านท้าย เพื่อสมรรถนะในการขับขี่

SPORTY INTERIOR


เนื่องจากเป็นคอมพลีตคาร์ ภายในจึงถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด เน้นตอบสนองการใช้งานของผู้ขับขี่ และ ออกแบบให้ภายในห้องโดยสารสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยโทนสีแดงสปอร์ตเร้าใจ เลือกวัสดุหนังสีแดงสลับหนังกลับ ด้วยเบาะคู่หน้า BRIDE และคู่หลังในสไตล์บั๊กเก็ตซีต เพื่อเพิ่มความกระชับให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร พวงมาลัยออกแบบในบริเวณ "GRIP" โดยใช้หนังกลับที่จับแล้วกระชับมือ และเล่นโทนสีเดียวกับภายในทั้งหมด แผงประตูก็เช่นกัน ถูกออกแบบให้ไปในทิศทางเดียวกันโดยใช้หนังกลับสีแดง



1NZ - FTE (TURBO KITS)


เครื่องยนต์ 1NZ-FE จากบริษัทแม่ ถูกปรับแต่งเพิ่มสมรรถนะ โดยเรียกแรงบิดมาใช้ตั้งแต่รอบต่ำ ๆ เพื่อความเหมาะสมในการใช้งานประจำวัน โดยการเซ็ตชุด TURBO ของ IHI RHF5 เข้าไปกับเครื่องยนต์ตัวนี้ ชุดท่อไอดีสร้างใหม่จากสเตนเลสชั้นสูง เพื่อป้องกันการเป็นสนิมและทนความร้อนสูง และป้องกันรอยขูดขีดได้ดีเยี่ยม




ส่วนอินเตอร์คูลเลอร์ที่วางอยู่ในตำแหน่งช่องดักลมหน้านั้นใช้ขนาดใหญ่ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิและเพิ่มความหนาแน่นอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังถูกออกแบบให้มีความดันศูนย์เสียต่ำ (BOOST LOSS) ทางด้านท่อร่วมไอเสีย หรือ "เฮดเดอร์" ดีไซน์เพื่อการไหลของไอเสีย สามารถรักษาอุณหภูมิและความเร็วเพื่อหมุนเทอร์โบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยผลิตจาก DUCILE STEEL PIPE ที่มีประสิทธิภาพในการทนความร้อนสูง เพื่อประสิทธิภาพในความแม่นยำในการควบคุมอัตราบูสต์ จึงเลือกใช้เวสต์เกตประสิทธิภาพสูงมาเป็นตัวควบคุมแรงดัน ซึ่งการทำงานที่ประสานกันของเวสต์เกตและโบล์วออฟวาล์ว ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับการทำงานของ ECU เดิมติดรถ จึงทำให้ระบบการจ่ายเชื้อเพลิงทำงานได้อย่างไม่มีปัญหา โดยปราศจาก "CHECK ENGINE"
TEIN SUSPENSION + E'SPEC BRAKE หลังจากสรุปลงตัวกับบอดี้และเครื่องยนต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งถัดมาที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน คือช่วงล่างและระบบเบรก ให้สมรรถนะรองรับกำลังของเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้น ด้วยการเลือกแบรนด์ช่วงล่างระดับหัวแถวของญี่ปุ่นอย่าง TEINในรุ่น "BASIC DAMPER"

ระบบเบรกมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องปรับแต่งให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นตามกำลังของเครื่องยนต์ โดยเลือกใช้ของ E'SPEC เป็น Caliper Brake 4 Pot ควบคู่กับจานเบรกที่มีขนาดใหญ่กว่าของเดิมมาเป็นขนาด 320 มม. โดยเป็นชุดอะแดปเตอร์สำเร็จรูปเพื่อป้องกันการเสียหายจากของเดิมติดรถนอกจากระบบช่วงล่างที่สมบูรณ์แบบแล้ว ยังเพิ่มเติมเรื่องความแข็งของตัวถัง เพื่อการตอบสนองที่ฉับไวและแม่นยำด้วยผลิตภัณฑ์ของ S-U-MM-I-T RACING EQUIPMENTS ประกอบด้วย ค้ำโช้คหน้า-หลัง, ค้ำจุดยึดล่างหน้า 4 จุด และค้ำตัวถังล่างอีก 4 จุด



อีกหนึ่งความสำเร็จของ COMPLETE CAR ที่ผลิตออกมาเพื่อตอบสนองการใช้งานแบบคล่องตัว และมีประสิทธิภาพสูงกว่ารถในระดับเดียวกัน

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รวมรถแต่ง2

รวมรถแต่ง

เครื่องเสียง รถยนต์ Honda Civic สวย ขั้นเทพ โดย Berm Car Audio

เทคนิคการตกแต่งรถยนต์ "MR2 BORDER STYLE"


TOYOTA MR2 ของน้องนัท และน้องหลุยส์ จากทีม NON SENSE ที่มีรถสปอร์ตสวย ๆ อยู่หลากหลายคัน เอาเป็นว่าเราจะหาจังหวะเหมาะ นำมาเสนอกันทั้งทีมเลยดีไหม...

WHITE MR2 BORDER STYLE

สูตรสำเร็จของความสวยงาม ภายนอกคงหนีไม่พ้นชุดแต่งแอโรพาร์ทที่ประกอบเข้าด้วยกันอยู่หลายส่วน ตัวกันชนหน้า ฝากระโปรงหน้า สเกิร์ตข้าง กันชนหลัง เจ้าของรถ ได้เลือกใช้ของค่าย BORDER รอบคัน พร้อมกับโป่ง FRONT OVER FENDER และ REAR OVER FENDER เป็นไอเดียจากเจ้าของรถเอง ผสมผสานกับงานฝีมือของสำนัก YATT จึงออกมาสวยอย่างที่เห็น แต่การโป่งแบบนี้ ถ้าจะให้แนบสนิทสวยงามจึงต้องแก้ไขปรับแต่งสเกิร์ตข้างให้ขยายกว้างต่อ เนื่องเสมือนเป็นชิ้นเดียวกัน จากนั้นเพิ่มเติมแรงกดหน้าบริเวณมุมกันชนด้วย CANARS CARBON ด้านข้างเปลี่ยนกระจกมองข้างและช่องดักลมเข้ากรองอากาศ AIR SCOOP จาก BOMEX ด้านบนสปอร์ตด้วยหลังคาแก้ว T-BAR จากโรงงาน ไฟท้ายเปลี่ยนเป็นรุ่นเวอร์ชั่นสุดท้ายของบอดี้นี้ทรง "โดนัท" พร้อมหางหลัง GT WING CABON จาก SARD

ภายใน ไม่พลาดกับเบาะ+เกจ์วัด+เครื่องเสียง

เทรนด์การตกแต่งแบบรถสปอร์ต 2 ที่นั่ง กับห้องโดยสารพื้นจำกัด พร้อมอุปกรณ์ที่มีมาสำหรับการใช้งานพอสมควร จึงจำเป็นที่ค่ายแต่งต่าง ๆ ผลิตและผลักดันของแต่งมาสนองความสวยงามมีประโยชน์เป็นตัวเลือกเพิ่มเติมให้ กับรถที่คิดจะแต่งกันจริง ๆ ภายในของคันนี้มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร โดยพวงมาลัยก็เปลี่ยนตามเทรนด์ "ก้านยก" จาก NARDI เบาะคู่หน้าบั๊กเก็ตซีตจาก RECARO รุ่น RAPTOR ปลอดภัยด้วยสายเข็มขัดนิรภัยจาก ABELT.C หัวเกียร์ HKS หน้าปัดเรือนไมล์เปลี่ยนเป็นของ MR2 รุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบ บนคอนโซลหน้าเรียงแถวด้วยเกจ์วัดจาก DEFI ครบชุด สำหรับวัดบูสต์เทอร์โบ วัดอุณหภูมิไอเสีย วัดอุณหภูมิน้ำ วัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง วัดแรงดันน้ำมันเครื่อง และวัดแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งเกจ์วัดแบบดิจิตอล VSD จากค่ายเดียวกัน TURBO TIMER จาก A'PEXi ส่วนตัวปรับบูสต์ยอดนิยมแบบไฟฟ้าจาก BLITZ รุ่น DUAL SBC จากนั้นอัพเกรดเครื่องเสียงด้วย HEAD UNIT จาก ALPINE CDA-7893R ลำโพงเสียงกลาง-แหลม จาก FOCAL ซับวูฟเฟอร์ขนาด 10 นิ้ว 1 ตัวหลังเบาะนั่งจาก DIGITAL RESEARCH เพาเวอร์แอมป์ 1 ตัว จาก DIGITAL RESEARCH รุ่น RVA-400.4

3S-GTE NON AIR FLOW METER

ตามสเป็กจากโรงงานโดยเฉพาะรุ่นที่มีหลังคาแก้ว T-BAR เครื่องยนต์ที่ประจำการในรุ่นนี้จะเป็นเครื่องยนต์ที่ไม่มีระบบอัดอากาศ อย่างเทอร์โบมาให้ เนื่องจากโครงสร้างโดยเฉพาะหลังคาแก้ว ในเรื่องของความปลอดภัยและแข็งแรงที่มีน้อยกว่าหลังคาแบบแข็ง แบบรถยนต์ทั่วไป แต่สำหรับคันนี้ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์รหัสเดียวกัน แต่มีระบบอัดอากาศพ่วงมาด้วย 3S-GTE รุ่นที่ไม่ใช้แอร์โฟล์วมิเตอร์ในการวัดปริมาณไอดีก่อนเข้าห้องเผาไหม้แล้ว เป็นรุ่น NON AIR FLOW METER โมดิฟายเล็กน้อยด้วย BLOW OFF VALVE จาก GReddy TYPE R อินเตอร์คูลเลอร์ ชุดคิต ติดตั้งในตำแหน่งเดิม แต่จะมีขนาดที่ใหญ่และหนาขึ้นจาก TRUST ระบบจุดระเบิดรองรับอุณหภูมิได้สูงขึ้นจาก NIPPON DENSO แบบ IRIDIUM เบอร์ 8 สายหัวเทียน SPLITFIRE ระบบไอเสีย ชุดคิตอีกเช่นกันที่เจ้าของภูมิใจเสนอจากค่าย GARAGE SPL รุ่น DEPARTURE ซึ่งสำนักนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของการโมดิฟายเครื่องยนต์ พร้อมชุดแต่งสำหรับ MR2 โดยเฉพาะระบบส่งกำลังแบบธรรมดา 5 สปีด รองรับแรงบิดเยอะขึ้นได้ด้วยชุดคลัตช์ของ TRD แบบ SINGLE PLATE

ช่วงล่าง TEIN +CUSCO ล้อหน้า-หลัง ความเหมือนที่แตกต่าง...

ช่วงล่างปรับเซ็ตตามการใช้งานในรูปแบบ STREET ด้วยโช้คอัพแบบสตรัทปรับเกลียวหน้าและหลังของ TEIN TYPE FLEX พร้อมตัวค้ำเบ้าโช้คอัพบนหน้า-หลังจาก CUSCO หนวดกุ้งหน้า FRONT TENSION ROD KIT จาก CUSCO ต่อจากนั้นอัพเกรดระบบเบรกคู่หน้ามาใช้ของรุ่น MR2 TURBO ที่มีขนาดใหญ่กว่า เข้าชุดกับล้อหน้าที่หน้าตาคล้ายกับล้อหลัง แต่พอลองมองกันจริง ๆ มันต่างค่ายกัน โดยล้อหน้าเป็นของ NISMO รุ่น LM GT4 ขนาด 17 x 8.5 นิ้ว ล้อหลังจาก BEE-R รุ่น B5 ขนาด 18 x 9.5 นิ้ว พร้อมกับยาง YOKOHAMA ADVAN NEOVA AD07 ขนาด 215/45 R17 และ 225/40 R18 มาต่อกันที่คันสีเหลืองเพื่อนซี้ทีมเดียวกัน....
ขอขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลจาก http://www.siammotorist.com